ผู้กำกับภาพยนตร์ คลื่นลูกใหม่หนึ่งในจำนวนน้อยคนที่มีแนวทางการทำงานในแบบของตนเอง ประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่มสร้างผลงาน
จนกลายเป็นที่จับตามองของวงการ
ผู้กำกับภาพยนตร์ นักเขียนบทและโปรดิวเซอร์วัย 46 ปี แจ้งเกิดในโลกบันเทิงจากผลงานร่วมกำกับการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “แฟนฉัน” (2546) ก่อนแยกตัวออกมาทำงานเดี่ยว “ย้ง - ทรงยศ สุขมากอนันต์” เป็นผู้กำกับที่มักมีส่วนในการเขียนบทด้วยตนเอง ด้วยเหตุผลว่าต้องการเข้าใจในตัวบท ตัวละคร เพื่อจะสามารถถ่ายทอดทิศทางและเรื่องราวให้ทีมงานและนักแสดงได้เข้าใจ “เวลาทำงานกับทีมงาน ผมก็อยากได้อินพุตจากทุกคนด้วย ผมอาจลีดเป็นแม่ทัพได้เพราะมองเห็นภาพว่ามีฉากเป็นแบบนี้ เสื้อผ้าแบบนี้ นักแสดงที่มาเล่นเป็นแบบนี้ แต่ผมทำงานมาระยะหนึ่ง ประสบการณ์หรือสิ่งที่เคยเรียนรู้มาก็ถูกใช้ไปจนแทบจะร่อยหรอ ก็เลยรู้สึกว่าถ้าได้ทำงานกับทีมงานที่มีอินพุตเยอะ ๆ มันจะเป็นการทำงานที่สนุกมาก ๆ”
กว่าจะก้าวมาถึงจุดที่ยืนในปัจจุบัน ทรงยศเคยผ่านช่วงสูงสุดและต่ำสุดมาก่อนแล้ว เขาเล่าถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตที่ทำให้เขาเข้าใจในท้ายที่สุดว่า ชีวิตไม่มีทางตัน
ถ้าเรายังไม่หยุดการแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ หรือสิ่งใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง ชีวิตเราก็ยังไม่เจอทางตันหรอกและมันทำให้ผมกลับมาทำงานอย่างมั่นใจ
จุดเปลี่ยน
เริ่มจากช่วงที่เขาสอบเอนทรานซ์ไม่ติด ทำให้ต้องไปเรียนบริหารธุรกิจที่เอแบคอยู่ 2 ปี ช่วงนั้นเขารู้สึกเป็นทุกข์กับการเรียน จึงตัดสินใจลาออกเพื่อสอบเอนทรานซ์ใหม่จนสำเร็จได้ไปเรียนถ่ายภาพที่ตนเองชอบในคณะนิเทศศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ครั้นเรียนจบออกมาแล้วก็ยังไม่มีโอกาสได้ทำงานเป็นเรื่องเป็นราว ต้องเลือกไปใช้ชีวิตที่สหรัฐอเมริกาอยู่ปีกว่า ก่อนจะหวนกลับมารับตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับโฆษณาที่ฟีโนมีนา ซึ่งเป็นโปรดักชันเฮาส์
ที่นั่นเขามีโอกาสได้ลองงานกำกับกระทั่งมีผลงานหนังสั้นส่งเข้าประกวดที่มูลนิธิหนังไทย และนั่นคือจุดเปลี่ยนครั้งที่สอง “จากที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นผู้กำกับได้ ผมค้นพบว่าตัวเองก็สามารถทำมันได้” และจุดเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่งที่เขาคิดว่าเป็นครั้งใหญ่มากในชีวิต คือหลังจากผ่านงานกำกับภาพยนตร์มาหลายเรื่อง นับตั้งแต่ “แฟนฉัน” “เด็กหอ” “ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น” “ห้าแพร่ง” จนถึง “Top Secret วัยรุ่นพันล้าน” ก็มาถึงช่วงที่เขารู้สึกว่าเป็นช่วงขาลงของตัวเอง
“ตอนนั้นเริ่มมีผู้กำกับรุ่นใหม่ ๆ เข้ามา และพวกเขาทำงานหนังได้ร่วมสมัยกว่าเรา พูดประเด็นที่ร่วมสมัยได้มากกว่าเรา มันทำให้ผมรู้สึก หรือว่ามันหมดยุคของการเป็นผู้กำกับหนังไทยของเราแล้ว ตอนนั้นรู้สึกเหมือนล้มเหลว ตกต่ำ ทั้ง ๆ ที่เราเคยผ่านจุดที่รู้สึกว่า เราทำหนังแล้วเคยประสบความสำเร็จมาก่อน” วงการบันเทิงไทยยังขับเคลื่อนไปในทิศทางเดิมในสายตาของเขา ไม่มีอิทธิพลจากไหนหรือนวัตกรรมใดมาเป็นอุปสรรคขวางความสำเร็จนอกจากจุดเปลี่ยนของความคิด ทรงยศตัดสินใจลองหาประสบการณ์ใหม่ที่เขายังไม่เคยทำ นับเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งที่สาม
“จากที่เคยมีคนชวนไปทำทีวี ทำละคร หรืออะไรหลายอย่าง ผมเลยตัดสินใจลองไปทำดู ก็ไปทำงานที่สมาคมผู้กำกับฯ ไปเป็นครูในบ้านเอเอฟได้ลองทำซีรีส์เรื่องแรก ‘วุ่นรักเจ้าชายกาแฟ Coffee Prince Thailand’ ตรงนั้นผมก็ได้เรียนรู้กระบวนการในการทำซีรีส์ และมีโอกาสได้ทำซีรีส์เรื่องถัดมาคือ ‘ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น’ มันเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนที่สำคัญมาก และทำให้เป็นนาดาวในวันนี้” ทรงยศหมายถึงบริษัทนาดาว บางกอก จำกัด ซึ่งมีชื่อของเขาเป็นกรรมการผู้จัดการอยู่
“มันทำให้ความศรัทธาความเชื่อมั่นในตัวเองกลับมา และทำให้เรียนรู้ว่า ถ้าเรายังไม่หยุดการแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ ชีวิตเราก็ยังไม่เจอทางตันหรอก และมันทำให้ผมกลับมาทำงานอย่างมั่นใจ มีความนิ่งในการทำงานมากขึ้น พอถึงวันนี้ผมก็ไม่ค่อยหวั่นไหวกับอนาคตข้างหน้าแล้ว”
ความสำเร็จ
หากย้อนกลับไปเมื่อครั้งยังเยาว์วัย ความสำเร็จของเขาอาจหมายถึงการทำหนังสักเรื่องที่คนดูชื่นชอบ สร้างรายได้สูง และคว้ารางวัลจากเวทีต่าง ๆ แต่เมื่อทำงานเรื่อยมาจนถึงวันนี้ เขาก็ค้นพบว่า แท้จริงแล้วความสำเร็จไม่ใช่ความยั่งยืน ครั้งหนึ่ง “แฟนฉัน” เคยประสบความสำเร็จด้วยรายได้ 137 ล้านบาท แต่ในเวลาต่อมาเขาก็สามารถทำหนังแล้ว เจ๊งได้เช่นกัน
“งานที่ถือเป็นความสำเร็จมันจะอยู่ในใจเราไม่ว่ากี่ปีก็ไม่เคยเปลี่ยน นั่นคืองานที่เราทำแล้วกลับมาดูอีกกี่ครั้งก็ยังชอบ นั่นแหละคือความสำเร็จ และมันจะอยู่กับเราโดยไม่หายไปไหน มันเป็นความภูมิใจที่จะอยู่ติดตัวเราตลอดเวลา”
A Successful life Without a Cul-de-sac
A 46-year-old director, screenwriter and producer, Songyos made a name for himself from co-directing the movie Fan Chan (My Girl) in 2003. He believes that playing a part in script writing will help shed light into characters and provide the best directions for his crew. “When I work with my team, I want some input from each and every one of them too. I may lead the team because I can visualise the scene, the outfit, and the characters. I feel that the input from my team makes it really really fun.” Prior to his fame and success, Songyos experienced both highest and lowest points of his life and the life-changing moment has made him realise that life truly has no dead end. While working as assistant to media director at Phenomena, a production house, he discovered his directing talent. After a lot of movies that he directed, from Fan Chan in 2003 to Ha Praeng (Phobia 2) in 2009, he experienced his downturn. “There were new directors, new talents who could tackle a variety of contemporary issues better than I could.” His breakthrough, however, came when he began directing his first TV series, Coffee Prince Thailand. That was the start of Nadao Bangkok, Co., Ltd, of which he is the managing director. “As long as we keep looking, our life won’t meet the dead end. I feel quite secure about the future.”
Comments